วันเสาร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ว่านรากราคะ

ว่านรากราคะ

ว่านรากราคะ
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ว่านรากราคะ หรือ ว่านดอกทอง อยู่ในวงศ์ซิงจิเบอร์เรซี(Zingiberaceae) เป็นพืชตระกูลเดียวกับขิง เป็นว่านโบราณที่หายากและใกล้จะสูญพันธุ์ พบมากทางภาคตะวันตกและภาคเหนือ แถบจังหวัดกาญจนบุรี ตาก แก้ลักษณะ
ลำต้นใต้ดินเป็นเหง้ากลม แตกแง่งเป็นไหลเล็กยาว 5-10 นิ้ว เนื้อในหัวถ้าเป็นตัวผู้จะมีสีเหลือง ส่วนตัวเมียเนื้อสีขาว มีกลิ่นคาวจัดคล้ายกับอสุจิของคน ใบเป็นรูปหอกสีเขียวมีขนาดเล็ก เส้นกลางใบสีแดง ทั้งต้นสูงประมาณ 1 ฟุต ออกดอกในหน้าฝน คล้ายดอกกระเจียว แต่ไม่มีก้านดอกจะอยู่ติดกับพื้นดิน มีสีขาวอมเหลือง
[แก้] ความเชื่อ
ตามตำราโบราณระบุว่ามีอำนาจทางเพศรุนแรง โดยเฉพาะผู้หญิงเกิดรุนแรงมาก ถ้าเอาหัว หรือใบ หรือต้นใส่โอ่งน้ำหรือบ่อน้ำ หากใครกินเข้าไปจะมีความรู้สึกทางเพศรุนแรงมาก โดยเฉพาะดอกเพียงได้กลิ่นผู้คนที่ได้กลิ่นทั้งหญิงและชายจะพากันมัวเมาในโลกีย์รส จึงต้องเด็ดดอกออกเสีย
นอกจากนี้ตามความเชื่อโบราณปลูกไว้ที่บ้าน ร้านค้า มีสรรพคุณทางเมตตามหานิยม ทำให้มีลูกค้าอุดหนุนอย่างไม่ขาดสาย

วันศุกร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ว่าน''สี่ทิศ'' ไม้มงคลเสริมดวงชะตา

ว่าน''สี่ทิศ'' ไม้มงคลเสริมดวงชะตา

ว่าน''สี่ทิศ'' ไม้มงคลเสริมดวงชะตา
ชื่อวิทยาศาสตร์: Hippeastrum johnsonii.
วงศ์: AMARYLLIDACEAE(วงศ์พลับพลึง)
ชื่อสามัญ: Wan-See-Til
ชื่ออื่นๆ: -
ลักษณะทั่วไป:
ว่านสี่ทิศเป็นพันธุ์ไม้ในวงศ์พลับพลึง มีลำต้นเป็นหัวอยู่ใต้ดินมีลักษณะคล้ายกับหอมหัวใหญ่ ส่วนที่โผล่ขึ้นมาเหนือดินเป็นส่วนของก้านใบ และตัวใบเท่านั้น ลักษณะของใบเป็นสีเขียว รูปหอกยาวเรียว ปลายมน ขอบใบเรียบ ใบกว้างประมาณ 3-5 ซม. และยาวประมาณ 25–30 ซม. ก้านดอกจะแทงสูงขึ้นจากกอ มีความประมาณ 25-30 ซม. ดอกออกตรงปลายก้านดอก มีสีชมพูตรงปลายดอก ดอกแยกออกเป็น 6 กลีบ เมื่อบานเต็มที่จะกว้างประมาณ 6-8 ซม. และจะทยอยกันบานทีละ 4 ดอก จึงนิยมเรียกกันว่า ว่านสี่ทิศในความเชื่อของคนสมัยก่อนของไทย
ได้เชื่อโชคลาภที่เกี่ยวกับว่านเป็นอย่างยิ่ง และในความเชื่อนนี้ก็มีความเชื่อเกี่ยวกับว่านสี่ทิศว่า ว่านสี่ทิศ ถ้าเลี้ยงว่านสี่ทิศให้ออกดอกพร้อมกันได้ทั้งสี่ดอกหรือสี่ทิศผู้ที่ปลูกเลี้ยง
จะมีโชคลาภ และหาก ว่าในช่วงที่ว่านสี่ทิศกำลังออกดอกทั้งสี่ทิศอยู่นั้น
ผู้เลี้ยงคิดจะทำอะไรหรือริเริ่มอะไร ก็จะประสบแต่ความสำเร็จสมหวังทุกประการ
แต่ถ้าว่านสี่ทิศออกดอกไม่ครบทั้งสี่ดอก หรือออกดอกแค่ 2 หรือ 3 ดอก
ก็เชื่อว่าจะไม่เป็นผลดีต่อผู้เลี้ยง เหมือนเป็นลางบอกเหตุว่าจะมีสิ่งไม่ดีเกิดแก่ผู้เลี้ยง
เราก็เลยพามารู้จักกับว่านสี่ทิศนะคะ

วันพฤหัสบดีที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ว่านชักมดลูก

ว่านชักมดลูก

ว่านชักมดลูก
ว่านชักมดลูกที่เรารู้จักกันมีอยู่ 2 ประเภท ซึ่งอาจแบ่งได้ตามสายพันธุ์ ดังนี้ คือ
ว่านชักมดลูก (ตัวผู้) ซึ่งมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า  Curcuma Zanthorrhiza Roxb.
ว่านชักมดลูก (ตัวเมีย)  มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า  Curcuma Comosa Roxb.
ว่านชักมดลูกทั้ง 2 สายพันธุ์นี้จะมีลักษณะ ภายนอกที่คล้ายคลึงกัน  แต่ส่วนใหญ่มักนิยมว่านชักมดลูกตัวผู้มาเข้าในตำรับยามากกว่าตัวเมีย  เพราะสารสำคัญที่ออกฤทธิ์ซึ่งมีสรรพคุณในทางยามีมากกว่านั้นเอง

ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา
จากผลการวิจัยสารสำคัญที่ออกฤทธิ์ทางยาของว่านชักมดลูกจากสถาบันต่าง ๆ ซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวข้องพบว่า  ใน ว่านชักมดลูกมีสารออกฤทธิ์ที่สามารถลดการอักเสบ ยับยั้งเนื้องอก  ยับยั้งการสังเคราะห์กรดไขมันลดปริมาณ ไตรกลีเซอไรด์และโคเลสเตอรอลในเลือดที่มีปริมาณสูง  ยับยั้งเบาหวานและการหดเกร็งของกล้ามเนื้อเรียบ ลดการซึมผ่านของหลอดเลือด แก้ปวด รักษาแผล ปรับ อุณหภูมิในร่างกายให้สมดุล ลดพฤติกรรมธรรมชาติของสัตว์ทดลอง  เพิ่มฤทธิ์บาร์บิตูเรต ยับยั้งการก่อกลายพันธุ์เป็นพิษต่อเซลล์ ยับยั้งการเป็นพิษต่อตับ กระตุ้นการผลิต น้ำดี ลดเวลาการหลับของบาร์บิตูเรต ยับยั้งเอนไซม์ GPT, GOT, alkaline phosphatase, adenine nucleotide translocass (HIV)  ต้านเชื้อแบคทีเรีย ต้านไวรัส ต้านเชื้อรา กระตุ้นการเพิ่มจำนวนเซลล์น้ำเหลือง เพิ่มน้ำหนักมดลูกและปริมาณไกลโคเจน มีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจนฆ่าแมลง และ ลดการสร้างเม็ดสีผิวได้  ซึ่งสารสำคัญที่ออกฤทธิ์ในทางยาที่มีอยู่ใน ว่านชักมดลูกจริง ๆ  แล้วมีมากมายหลายกลุ่มหนึ่งในนั้นก็คือ  เคอร์คิวมิน  เป็นสารที่สกัดได้จากขมิ้น ซึ่งให้ประโยชน์หลายประการ แต่ที่เห็นได้ชัดคือเรื่องของกระเพาะอาหาร
ผลสรุปทางการวิจัย ยังพบอีกว่า ว่านชักมดลูกมีผลคล้ายกับฮอร์โมนเอสโตรเจน คือ ฮอร์โมนที่มีในเพศหญิง  แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องเข้าใจก่อนว่าตัวของว่านชักมดลูกเอง ไม่ใช่ฮอร์โมน แต่ทำหน้าที่คล้ายฮอร์โมนเท่านั้น  นอกจากนี้ ยังมีฤทธิ์เพิ่มการขับน้ำดีและสามารถป้องกันมะเร็งในสัตว์ทดลองได้

วันพุธที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ชื่อ ว่านหางช้าง

ว่านหางช้าง

ชื่อ  ว่านหางช้าง
เป็นไม้ล้มลุก ใบสีเขียวเล็กๆ แบนๆ เป็นแผง ดอกเล็กเป็นช่อที 5 กลีบ ดอกสีเหลืองปะแดง เป็นไม้ประดับทั่วไป
ส่วนที่ใช้ใบและเหง้า
สรรพคุณ
ใบ - ใช้ใบ 3 ใบ นำมาปรุงเป็นยาต้ม ใช้เป็นยาระบายอุจจาระและรักษาระดูพิการของผู้หญิง
เหง้า - ใช้แห้ง โดยนำไปต้มหรือบดให้เป็นผงกิน หรือใช้สดโดยการตำคั้นเอาแต่น้ำ ใช้สำหรับภายนอกโดยการนำไปบดให้เป็นผงเป่าคอหรือใช้ผสมทา เหง้าจะมีรสขมและเย็นจัด แต่มีพิษ ใช้เป็นยารักษาอาการต่างๆ ได้ดังนี้
- รักษาโรคคางทูม
- รักษาอาการท้องมาร
- รักษาอาการไอ
- รักษาอาการเจ็บคอ
- รักษาฝีที่เต้านม มีหนองในระยะแรก
- รักษาฝีประคำร้อย
- รักษาอาการผื่นคันมีน้ำเหลืองที่ขาจากการทำนา

วันอังคารที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ว่านหางจระเข้

ว่านหางจระเข้

ชื่อทั่วไป : ว่านหางจระเข้
  ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : Aloe barbadensis Mill.
  วงศ์ : Liliaceae
  ลักษณะของพืช : ไม่มีข้อมูล
  การปลูก : ว่านหางจระเข้ปลูกง่าย โดยการใช้หน่ออ่อน ปลูกได้ดีในบริเวณทะเลที่เป็นดินทราย และมีปุ๋ยอุดมสมบูรณ์ดี จะปลูกเอาไว้ในกระถางก็ได้ ในแปลงปลูกก็ได้ ปลูกห่างกันสัก 1-2 ศอก เป็นพืชที่ต้องการน้ำมาก แต่ต้องมีการระบายน้ำดีพอ มิฉะนั้นจะทำให้รากเน่าและตาย ว่านหางจระเข้ชอบแดดเรไร     ถ้าถูกแดดจัดใบจะเป็นสีน้ำตาลแดง
   ส่วนที่ใชัเป็นยา : วุ้นจากใบ
   ช่วงเวลาที่เก็บเป็นยา : เก็บในช่วงอายุ 1 ปี
   รสและสรรพคุณยาไทย : รสจืดเย็น โบราณใช้ทาปูนแดงปิดขมับใช้แก้ปวดศีรษะได้
   ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ : วุ้นในใบว่านหางจระเข้มีสารเคมีอยู่หลายชนิด เช่น Aloe-cmidin, Aloesin, Aloin, สารประเภท glycoprotein และอื่นๆ ยางที่อยู่ในว่านหางจระเข้มีสาร anthraquinone ทีมีฤทธิ์ขับถ่ายด้วย ใช้ทำเป็นยาดำ มีการศึกษาวิจัยรายงานว่า วุ้นหรือน้ำเมือกของว่านหางจระเข้รักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก แผลเรื้อรัง และแผลในกระเพาะอาหารได้ดี เพราะวุ้นใบมีสรรพคุณรักษาแผลต่อต้านเชื้อแบคทีเรียช่วยสมานแผลได้ด้วย
และยังนำมาพัฒนารูปแบบเป็นผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปทั้งทางด้านยาและเครื่องสำอางค์ แชมพูสระผม อีกด้วย


วันอาทิตย์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2553

มะกรูด

มะกรูด

มารูจักมะกรูดกันนะคะ???
       "มะกรูด" เป็นพืชในสกุลส้ม (Citrus) เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก เป็นไม้เนื้อแข็ง ลำต้นและกิ่งมีหนามยาวเล็กน้อย ใบเป็นใบประกอบชนิดลดรูป มีใบย่อย 1 ใบ เรียงสลับ รูปไข่ คือมีลักษณะคล้ายกับใบไม้ 2 ใบ ต่อกันอยู่ คอดกิ่วที่กลางใบเป็นตอนๆ มีก้านแผ่ออกใหญ่เท่ากับแผ่นใบ ทำให้เห็นใบเป็น 2 ตอน กว้าง 2.5-4 เซนติเมตร ยาว 4-7 เซนติเมตร ใบสีเขียวแก่พื้นผิวใบเรียบเกลี้ยง เป็นมัน ค่อนข้างหนา มีกลิ่นหอมมากเพราะมีต่อมน้ำมันอยู่ ใบด้านบนสีเข้ม ใต้ใบสีอ่อน ดอกออกเป็นกระจุก 3 – 5 ดอก กลีบดอกสีขาว เกสรสีเหลือง ร่วงง่าย มีกลิ่นหอม มีผลสีเขียวเข้มคล้ายมะนาวผิวเปลือกนอกขรุขระ ขั้วหัวท้ายของผลเป็นจุก ผลอ่อนมีเป็นสีเขียวแก่ เมื่อผลสุกจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองสด พันธุ์ที่มีผลเล็ก ผิวจะขรุขระน้อยกว่าและไม่มีจุกที่ขั้ว ภายในมีเมล็ดจำนวนมาก
ถิ่นกำเนิด มีบริเวณ มาเลเซีย พม่า ไทย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ อินเดีย
ชื่อที่ใช้เรียก หนองคาย เรียก มะหูด ภาคเหนือ เรียก มะกูด ภาคใต้ เรียก ส้มมั่วผี และหรือส้มกรูด เขมร เรียก โกรยเชียด
คติความเชื่อเกี่ยวกับมะกรูด
         มะกรูดเป็นไม้มงคลชนิดหนึ่งที่ควรปลูกไว้ในบริเวณบ้าน โดยกำหนดปลูกทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ (พายัพ) เพื่อผู้อยู่อาศัย จะได้มีความสุข และในบางตำราว่าเป็นความเชื่อของคนบ้านป่า ที่เดินทางด้วยเกวียนเทียม วัวหรือควายเมื่อได้กลิ่นสาบเสือ จะหยุดเดิน เจ้าของจะต้องขูดผิวมะนาวหรือมะกรูด ป้ายจมูกให้ดับกลิ่นสาบเสือก่อน จึงจะเดินต่อไป ดังนั้นการเดิน ทางสมัยก่อนผ่านป่า ผู้เดินทางจึงมักจะพกพามะนาว และมะกรูดติดตัวไปด้วยเสมอ
      

วันพุธที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ตะไคร้

 ตะไคร้มีถิ่นกำเนิด ในประเทศอินโดนีเซีย ศรีลังกา พม่า อินเดีย ไทย และในทวีปอเมริกาใต้   โดยทั่วไปแบ่งตะไคร้ออกเป็น 6 ชนิด ได้แก่
  • ตะไคร้กอ
  • ตะไคร้ต้น
  • ตะไคร้หางนาค
  • ตะไคร้น้ำ
  • ตะไคร้หางสิงห์
  • ตะไคร้หอม
         เป็นพืชตระกูลหญ้า ตะไคร้เป็นพืชที่เจริญเติบโตง่าย อาจมีทรงพุ่มสูงถึง 1 เมตร มีลำต้นที่แท้จริงประมาณ 4-7 เซนติเมตร ลำของต้นจะถูกห่อหุ้มไปด้วยกาบใบโดยรอบ ใบยาวแคบเส้นใบขนานกับก้านใบ ใบของตะไคร้อุดมไปด้วยน้ำมันหอมระเหย ที่นิยมนำมาปลูกเป็นพันธุ์พื้นเมืองที่ปลูกกันโดยทั่วไปตะไคร้ (Lemongrass) เป็นพืชล้มลุก ความสูงประมาณ 4-6 ฟุต ใบยาวเรียว ปลายใบมีขนหนาม ลำต้นรวมกันเป็นกอ มีกลิ่นหอม ดอกออกเป็นช่อยาวมีดอกเล็กฝอยเป็นจำนวนมาก ตะไคร้เป็นพืชที่สามารถนำส่วนต้นหัวไปประกอบอาหาร และจัดเป็นพืชสมุนไพรด้วย 


ใบกะเพราขับไขมันและน้ำตาล


ไม่เฉพาะแต่คนไทยเท่านั้นที่รู้จักรับประทานใบกะเพราเป็นอาหารแ ละยา ชาวเอเชียทุกชาติก็รู้จักใบกะเพรา และบางชาติก็รู้จักใช้ประโยชน์จากใบกระเพราดีกว่าคนไทยด้วยซ้ำ อย่างเช่น ชาวอินเดียที่บูชาใบกระเพราเป็นใบไม้ศักดิ์สิทธิ์ถึงกับตั้งชื่อให้ว่า โฮลลี่ เบซิล (Holy Basil) เพราะนอกจากชาวอินเดียจะใช้ใบกระเพราบูชาเทพเจ้าแล้ว เขายังใช้สมุนไพรตัวนี้ปรุงอาหารประจำวัน ซึ่งก็ไม่ต่างกับคนไทยที่อาศัยกลิ่นและรสของใบกระเพราดับกลิ่นค าวและชูรสอาหาร และยังใช้น้ำต้มใบกระเพราดื่มช่วยขับลมแน่นในท้อง
        น้ำต้มใบกระเพราะนั้นปลอดภัย สามารถเหยาะ 2-3 หยด ผสมน้ำนม ขนาด 15 ซีซี ให้ทารกดื่มแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ อันเป็นสาเหตุให้เด็กร้องไห้โยเยสรรพคุณสำคัญของใบกะเพรา ที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้กันทั้งที่ใช้บริโภคกันอยู่ในชีวิตประจำวัน ก็คือ สรรพคุณขับไขมัน เคยสังเกตไหมว่า เหตุใดจึงมีตำรับอาหารไทยจำพวกผัดกะเพราเนื้อ กะเพราหมู กะเพราไก่
             เหตุผลไม่เพียงแค่ใช้ใบกะเพราดับกลิ่นคาวเนื้อสัตว์เท่านั้น แต่ที่สำคัญคือช่วยขับไขมันและน้ำตาลส่วนเกินออกจากร่างกาย
             มีงานวิจัยหลายชิ้น หลายสำนักที่กล่าวถึงสรรพคุณอันหลากหลายของใบกะเพรา ในที่นี้ขอกล่าวเฉพาะสรรพคุณที่เชื่อมโยงกับฤทธิ์ลดไขมันและน้ำ ตาลของใบกะเพราเท่านั้น

วันอังคารที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ผ้าไหมไทย

ยินดีต้อนรับท่านสู่ ศูนย์รวมผ้าไหมไทยแลนด์
ผ้าไหมไทยนับว่าเป็นเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทรงคุณค่า ถือว่าเป็นภูมิปัญญาที่น่าภูมิใจของคนไทยนะค่ะ
และเป็นการสืบสานภูมิปัญญาการทอผ้าไหมมาตั้งแต่ครั้งโบราณกาลเป็นที่รู้จักกันในแถบอีกสานใต้เลยทีเดียว
ผ้าไหมไทย เป็นผลงานอันเกิดจากความตั้งใจของผู้ทอที่แฝงไว้ด้วยความหมายแห่งแลผลิตภัณฑ์ผ้าศิลปะและจินตนาการ สะท้อนให้เห็นถึง

ผ้าไหมไทย

วันอาทิตย์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ความหมายของ วันขึ้นปีใหม่


ความหมายของ วันขึ้นปีใหม่
          ความหมายของวันขึ้นปีใหม่ ตามพจนานุกรม ฉบับราชตบัณฑิตยสถาน ให้ความหมายของคำว่า " ปี" ไว้ดังนี้ ปี หมายถึง เวลา ชั่วโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ครั้งหนึ่งราว 365 วัน : เวลา 12 เดือนตามสุริยคติ
ในอดีต วันขึ้นปีใหม่ของไทยได้มีการเปลี่ยนแปลงมาแล้ว 4 ครั้งคือ ครั้งแรกถือเอาวันแรม 1 ค่ำ เดือนอ้าย เป็นวันขึ้นปีใหม่ซึ่ง ตรงกับเดือนมกราคม ครั้งที่ 2 กำหนดให้วันขึ้นปีใหม่ตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 ตามคติพราหมณ์ ซึ่งตรงกับเดือนเมษายน
การกำหนดวันขึ้นปีใหม่ใน 2 ครั้งนี้ ถือเอาทางจันทรคติเป็นหลัก ต่อมาได้ถือเอาทางสุริยคติแทน โดยกำหนดให้วันที่ 1 เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่ ตั้งแต่ พ.ศ.2432 เป็นต้นมา อย่างไรก็ตาม ประชาชนส่วนใหญ่โดยเฉพาะตามชนบทยังคงยึดถือเอาวันสงกรานต์เป็น วันขึ้นปีใหม่อยู่ ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตย ทางราชการเห็นว่าวันขึ้นปีใหม่วันที่ 1 เมษายน ไม่สู้จะมีการรื่นเริงอะไรมากนัก สมควรที่จะฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ จึงได้ประกาศให้มีงานรื่นเริงวันขึ้นปีใหม่ในวันที่ 1 เมษายน 2477 ขึ้นใน กรุงเทพฯเป็นครั้งแรก
การจัดงานวันขึ้นปีใหม่ที่ได้เริ่มเมื่อวันที่ 1 เมษายน ได้แพร่หลายออกไปต่างจังหวัดในปีต่อๆมา และในปี พ.ศ.2479 ก็ได้มีการ จัดงานรื่นเริงปีใหม่ทั่วทุกจังหวัด วันขึ้นปีใหม่วันที่ 1 เมษายน ในสมัยนั้นทางราชการเรียกว่า วันตรุษสงกรานต์
ต่อมาได้มีการพิจารณาเปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่อีกครั้งหนึ่ง โดยคณะรัฐมนตรีได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้น ซึ่งมีหลวงวิจิตรวาทการ เป็นประธานกรรมการ ที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ให้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่เป็นวันที่ 1 มกราคม โดยกำหนดให้วันที่ 1 มกราคม 2484 เป็น วันขึ้นปีใหม่เป็นต้นไป


วันเสาร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ต้มยำก้ง

ต้มยำก้ง


ต้มยำก้ง
เครื่องปรุง 
กุ้งชีแฮ้หรือกุ้งแม่น้ำ 300 กรัม
เห็ดฟาง 100 กรัม
ตะไคร้ 2 ต้น
ใบมะกรูด 2- 3 ใบ
ข่าหั่นเป็นแว่นบาง 3 แว่น
หัวหอมแดง 1-2 หัว
ใบผักชี พริกขี้หนูสวน น้ำปลา น้ำมะนาว
ถ้าชอบน้ำพริกเผา ใช้เนื้อน้ำพริกเผา 1 ช้อนชา น้ำมันน้ำพริกเผา 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
1. กุ้งปอกเปลือกเอาหางไว้ ผ่าหลังดึงเส้นดำที่หลังออก ถ้าเป็นกุ้งแม่น้ำ ไม่ต้องปอกเปลือกให้ผ่าหลัง ตัดกรีกุ้งออก
2. ตะไคร้ทุบเบาๆ ตัดเป็นท่อน ใบมะกรูดฉีกเป็นชิ้นใหญ่ ข่าหั่นเป็นแว่นบาง หอมแดงบุบพอแตก พริกขี้หนูบุบพอแตก เห็ดฟางลวกพอสุก
3. น้ำใช้ประมาณ 1 ถ้วยตวง ตั้งไฟให้ดือด (จะใช้น้ำต้มกระดูกหมูหรือไก่ก็ได้ จะเพิ่มความอร่อยยิ่งขึ้น) ใส่กุ้งพอสุกอย่าให้สุกมาก ใส่ตะไคร้ ข่า หัวหอม ใบมะกรูด พอเดือดปรุงรสด้วยน้ำปลา ใส่เห็ด ยกลงปรุงรสให้เปรี้ยวด้วยมะนาว ใส่พริกขี้หนูบุบ ชิมรสให้เปรี้ยว เค็ม เผ็ด โรยผักชี เสิร์ฟตอนยังร้อนๆ
4. ถ้าจะใส่น้ำพริกเผา ให้เอาเนื้อและน้ำมันน้ำพริกเผาคนให้เข้ากัน ใส่ลงในหม้อต้มยำ อย่าใส่กุ้งแล้วทิ้งไว้นาน พอกุ้งสุกมากจะหดและแข็งไม่อร่อย  

ประวัติ Kitty


ประวัติ Kitty
วันเกิด : 1 พฤศจิกายน (1974)
สถานที่เกิด : ชานเมืองลอนดอน ประเทศอังกฤษ
ที่อยู่ : อาศัยที่บ้านสีขาวหลังคาแดง ห่างจากตัวเมืองลอนดอน 20 กิโลเมตร ในเมืองที่ไม่มีใครทราบชื่อซึ่งมีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 20,000 ชีวิต คุณสามารถเดินทางไปยังเมืองแห่งนี้ได้ภายใน 20 นาทีโดยรถยนต์ หรือ 30 นาทีโดยรถเมล์
สัดส่วน  : น้ำหนักเท่ากับแอ๊ปเปิ้ล 3 ผล สูงเท่ากับแอ๊ปเปิ้ล 5 ผล
กรุ๊ปเลือด : A (Negative)
ราศี : พิจิก
สีที่ชอบ : แดง
อาหารโปรด : พายแอ๊ปเปิ้ลฝีมือคุณแม่ ฮ็อทเค้ก พุดดิ้งและของหวานทั้งหลาย เช่น ลูกกวาด เป็นต้น
วิชาโปรด : ดนตรีและภาษาอังกฤษ
บุคลิก : เป็นแมวน้อยที่ร่าเริง อบอุ่นและใจดี เธอมีฝีมือในการอบคุ้กกี้ที่แสนอร่อยและชอบทานพายแอ๊ปเปิ้ลฝีมือของคุณแม่ เพื่อนสนิทของ Kitty ก็คือน้องสาวฝาแฝดของเธอที่ชื่อว่า “Mimmy”นั่นเอง และตั้งแต่คุณพ่อของ Kitty ได้เข้าไปทำงานในนิวยอร์ค เธอจึงมีเท็ดดี้แบร์เป็นเพื่อนอีกมากมาย งานอดิเรกของ Kitty ก็คือการเดินทางท่องเที่ยว อ่านหนังสือ เล่นดนตรี  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเปียโน เธอชอบชิมคุ้กกี้ฝีมือการอบของ Mimmy น้องสาวและ Kitty ยังชอบเล่นกีฬาด้วยเช่นกัน เธอโปรดปรานการตีเทนนิส แต่สิ่งที่เธอชอบมากที่สุดก็คือการพบปะผู้คนและทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ๆ ก็เป็นเหมือนที่ Kitty บอกกับทุกคนนั่นแหล่ะว่า ไม่มีวันที่เราจะรู้สึกว่าเรามีเพื่อนมากเกินไปด้วยเหตุนี้นี่เอง Kitty จึงกลายเป็นสาวน้อยที่ป็อปปูลาร์ที่สุดในโรงเรียน สิ่งที่ชอบ : ของชิ้นเล็กๆน่ารักๆเหมือนตัวเธอนั่นเอง เธอสะสมดาวดวงเล็กๆ ปลาทองตัวน้อย เหรียญเงินและริบบิ้นมากมาย นอกจากนี้เธอยังชอบไปเที่ยวเล่นตามสาธารณะหรือในป่ากับเพื่อนๆอยู่เสมอ หากมีเวลาว่าง Kitty มักจะตรงดิ่งไปยังร้านลูกกวาดเสมอ เธอชอบลูกกวาดมากๆเลยล่ะ!
จุดเด่น : สิ่งที่ทำให้ทุกๆคนจดจำ Kitty ได้เสมอก็คือริบบิ้นสีแดงที่หูซ้ายของเธอและปุยหางอันฟูฟ่องของเธอนั่นเอง 
ชายในสเป็ค  : ชอบผู้ชายที่ใจดีและเป็นมิตร รักครั้งแรกของ Kitty ก็คือ Dear Daniel และเมื่อ Dear Daniel ได้เดินทางไปอยู่กับครอบครัวของเขาที่แอฟริกา Kitty ก็ได้หันมาคบกับ Tippy หมีหนุ่มเพื่อนร่วมชั้น
ความใฝ่ฝัน : นักเปียโนหรือกวีโรงเรียน : โรงเรียนตั้งอยู่ระหว่างเส้นทางที่มุ่งสู่ลอนดอนห่างจากบ้านของ Kitty 4 กิโลเมตร โรงเรียนของ Kitty นั้นนับได้ว่าเป็นโรงเรียนที่สวยงามอีกแห่งหนึ่งซึ่งปกคลุมไปด้วยต้นไม้และแวดล้อมสัตว์ป่าน้อยใหญ่ Kitty และ Mimmy เดินทางไปโรงเรียนด้วยรถเมล์ด้วยกันทุกเช้าซึ่งใช้เวลาในการเดินทางเพียงสามป้ายรถเมล์เท่านั้นคุณครูจะคอยทักทายกับพวกเธอทั้งสองอยู่ที่หน้าโรงเรียนทุกวัน และเป็นที่แน่นอนว่า Kitty และ Mimmy คือสองสาวที่ป็อปปูลาร์ที่สุดในโรงเรียน

คุณรู้มั้ย ?
- Kitty ชอบแปรงฟันด้วยยาสีฟันกลิ่นสตรอเบอร์รี่   เธอห้ามใจแทบไม่ไหวทุกครั้งเมื่อได้กลิ่นหอมหวานของ สตรอเบอร์รี่
- Kitty มักจะเดินทางไปไหนมาไหนด้วยจักรยานสามล้อคันเล็กของเธอเสมอ ไม่ว่าจะออกไปเที่ยวเล่นใกล้ๆบ้าน  ไปช็อปปิ้ง หรือแม้แต่เวลาที่เธอออกไปเล่นกับเพื่อนๆ